การมีรอยสักที่สวยงาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือช่างสักเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ “การดูแลตัวเองหลังสัก” หากดูแลไม่ดี จากรอยสักสุดเท่อาจกลายเป็นแผลอักเสบ หรือสีซีดจางก่อนวัยอันควรได้ วันนี้เราสรุปคำแนะนำจากมือโปรในรายการ Tattoo Brothers มาฝากกันครับ
1. งดแอลกอฮอล์: ศัตรูตัวฉกาจของรอยสักใหม่
ทำไมถึงห้ามดื่มเหล้าหลังสัก? เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานหนักขึ้น เลือดจะสูบฉีดแรงกว่าปกติ ซึ่งอาจไป “ดันสีสัก” ให้หลุดออกมาจากผิวหนัง ทำให้รอยสักดูไม่สม่ำเสมอ และยังทำให้แผลหายช้าลงด้วยครับ
2. สังเกตอาหารการกิน: ไข่ไก่กินได้ไหม?
ประเด็นยอดฮิต “ห้ามกินไข่เพราะจะเป็นแผลเป็น” จากประสบการณ์ตรงในรายการ พบว่ามีเคสลูกค้าที่ทานไข่ในปริมาณมากหลังสัก แล้วเกิดอาการ “แผลบวม” ขึ้นมาจริงๆ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่หากคุณเป็นคนที่เป็นแผลเป็น (Keloid) ง่าย หรือผิวหนังอักเสบง่าย ควรเลี่ยงของแสลงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกจะดีที่สุด
3. เข้าใจสภาพร่างกายตัวเอง
แต่ละคนมีสภาพผิวและการฟื้นฟูร่างกายที่ต่างกัน บางคนแผลหายไว บางคนเป็นคีลอยด์ง่าย ดังนั้น การดูแลรอยสักจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว หากเริ่มรู้สึกว่าแผลบวมผิดปกติ หรือคันมากเกินไป ควรปรึกษาช่างสักหรือใช้ยาทาเฉพาะจุดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
4. รักษาความสะอาดคือที่หนึ่ง
แผลสักก็เหมือนแผลสดทั่วไปที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ ซับให้แห้งด้วยทิชชูสะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลด้วยมือที่ไม่สะอาด
5. งดกิจกรรมกลางแจ้งและว่ายน้ำ
แสงแดดทำลายเม็ดสีในรอยสักได้ง่ายมาก โดยเฉพาะรอยสักใหม่ที่ผิวยังบอบบาง ส่วนการว่ายน้ำในสระหรือทะเลอาจทำให้แผลสัมผัสกับคลอรีนหรือเชื้อโรคจนเกิดการอักเสบได้
6. ห้ามแกะ ห้ามเกา เด็ดขาด!
เมื่อแผลเริ่มตกสะเก็ดจะมีความรู้สึกคันมาก การแกะหรือเกาจะทำให้สะเก็ดหลุดก่อนเวลา และดึงสีสักติดออกมาด้วย ทำให้รอยสักแหว่งหรือสีไม่ติด ให้ใช้วิธีตบเบาๆ หรือทาผลิตภัณฑ์ดูแลรอยสักเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแทน
7. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรอยสักโดยเฉพาะ
การใช้ครีมหรือโลชั่นที่ออกแบบมาเพื่อรอยสัก (Tattoo Aftercare) จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้แผลอุดตัน ช่วยให้สีคงความสดใสและแผลสมานตัวได้ดียิ่งขึ้น






